วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เยือนบ้านมูด่องชุมชนเล็กคนพม่าตรงข้ามด่านสิงขร มันเป็นอะไรที่ยุ่งยากเหลือเกิน และเข้ายากสำหรับช่วงนี้

อันแน่ออนทัวร์ได้มีโอกาสได้เดินทางไปเที่ยวบ้านมูด่อง ประมาณวันที่ 15 พ.ย. 57 โดยการเดินทางเข้าไปเที่ยวบ้านมูดองครั้งนี้ เป็นอะไรที่ยากมากไม่อยากจะเชื่อเลย ทั้ง ๆ ที่พม่าก็เริ่มเปิดประเทศแล้ว ผู้ว่าการรัฐมะริด กับผู้ว่าจังหวัดประจวบ ก็จับมือสนับสนุนเรื่องการท่องเที่ยวที่ด่านสิงขรแล้ว ประมาณในปี พ.ศ. 2557 แต่มันยังเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ประชาชนคนนอกพื้นที่อย่างผมที่ไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมยังเข้ายากมาก ๆ เหมือนเคย สำหรับแบ็คแพ็คเกอร์อย่างผม ผมอยากแชร์ประสบการณ์ครั้งนี้เพราะว่าคนไทยยังหลายคนยังไม่รู้ และบางคนดูจากข่าวทางอินเตอร์เน็ตอและคิดว่าข้ามไปเที่ยวบ้านมูด่องได้แล้วแต่ต้องอกหักกลับมาเพราะจริง ๆ แล้วเขายังไม่อนุญาตให้เข้าไป แต่อีกหน่อยคนไทยก็คงจะเข้าไปเที่ยวได้แล้วในช่วง AEC เปิด ก็คงจะไม่รู้ว่าก่อนด่านสิงขรเปิดเป็นด่านสากลมันเข้ายากขนาดไหน
   
บ้านมูดองเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ติดด่านชายแดนไทยตรงข้ามกับด่านสิงขร ปกติแล้วหมู่บ้านแห่งนี้จะเปิดให้กับนักท่องเที่ยวไทยได้เข้าไปเยือน ประมาณช่วงวันปีใหม่ และวันสงกรานต์เท่านั้น แต่ถ้าจะเข้าไปเที่ยวแบบดุ่ม ๆ นั้นไม่ได้แน่ีนอน เพราะตอนนี้ด่านสิงขรยังเป็นแค่ด่านชั่วคราวเท่านั้นจะเข้าจะออกยังลำบากเลย นอกจากคนในพื้นที่ หรือคนพม่าเท่านั้น ที่จะเดินทางเข้าออกได้แบบชั่วคราว จากประสบการณ์เกือบสิบปีที่แล้วผมเคยข้ามไปเที่ยวบ้านมูด่องช่วงวันสงกรานต์ ช่วงนั้นผมเดินทางเข้าไปเที่ยวกับเพื่อน 4 คน โดยการเสียค่าธรรมเนียมคนละ 100 บาท สำหรับนั่งรถสองแถวข้ามไปเที่ยวบ้านมูดอง โดยการนั่งรถสองแถว และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนไปด้วย 1 คน มันเป็นอะไรที่แย่มากสำหรับผมในทริปนี้ เพราะว่าตอนที่ผมเดินทางเข้าไปฝั่งพม่า ด่านไทยไม่มีปัญหาไปติดตรงด่านพม่านี่แหละไม่อนุญาติให้ผมและเพื่อนข้ามเข้าไป เนื่องจาเห็นกล้องถ่ายภาพของผมและเพื่อน โดยบอกว่าต้องเก็บกล้องถ่ายภาพทุกคนไว้ที่ด่านพม่า โดยขากลับค่อยมารับคืน ไม่งั้นไม่ให้เข้าไปบ้านมูด่อง ผมรู้สึกเป็นห่วงกล้องและรู้สึกไม่อยากเข้าไปเลย แต่ในเมื่อมาถึงตรงนี้แล้วเราก็ต้องเดินทางไปต่อ เพราะมีนักท่องเที่ยวท่านอื่นเดินทางมาพร้อมด้วยกัน ส่วนขากลับค่อยมารับคืน และนั่นมันเป็นอดีตเมื่อเกือบสิบปีที่แล้ว

แต่มาวันนี้ผมได้มีโอกาสเดินทางเข้าไปอีกครั้งหนึ่งจากคำแนะนำของจันทิมารีสอร์ท เจ้าของเว็บไซต์เกาะทะลุทัวร์  ที่ให้คำแนะนำว่าควรไปอย่างไร โดยให้แม่บ้านที่จันทิมารีสอร์ท ที่อยู่บ้านมูด่องที่เพิ่งกลับไปเยี่ยมบ้านมารอรับผมหน้าด่านสิงขร ไม่งั้นแล้วผมคงไม่ได้เข้าไป ผมเดินทางเข้าไปด่านสิงขรวันเช้าวันเสาร์ นัดกันไว้ตอนประมาณ 9 โมง กับแม่บ้านจันทิมารีสอร์ท ชื่อพี่แกบ แต่ระหว่างการรอเจอพี่แกบผมขอพาเพื่อน ๆ เที่ยวตลาดเช้าด่านสิงขรก่อน เพราะปกติผมไม่ค่อยได้มาที่ด่านสิงขรตอนเช้า ๆ ผมก็เลยไม่คิดว่าจะมีคนพม่าเยอะขนาดนี้เลย รวมถึงนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างก็เดินกันพลุกพล่านที่ตลาดด่านสิงขรแห่งนี้

พี่แกบเดินทางมาถึงด่านสิงขรแล้วโทรหาผม และบอกให้ผมไปเสียค่าธรรมเนียม 100 บาท เพื่อข้ามฝั่งด่านไทยไปด่านฝั่งพม่า หลังจากชำระค่าธรรมเนียมพี่แกบพาผมไปถึงด่านทหารฝั่งไทยก็ไม่มีปัญหา ที่เหลือคือด่านพม่าคือด่านสุดท้ายที่ต้องรอลุ้น ผมไปยืนรอเหมือนกับคนไทยที่ยืนรอญาติหรือเพื่อนระหว่างไม้กั้นพรมแดนไทยพม่า ระหว่างรอข้ามด่านพม่าพี่แกบเป็นคนไปเจรจากับตำรวจหน้าด่านพม่าว่าผมมาเที่ยวบ้านพี่แกบ เพราะเมื่อก่อนเขาเคยทำงานที่จันทิมารีสอร์ท การเจรจาดูค่อนข้างตรึงเครียดเจ้าหน้าที่ตำรวจหน้าด่านพม่าขอดูเอกสารข้ามด่านฝั่งไทยโดยมีแค่ใบเสียค่าธรรมเนียมฝั่งไทย 100 บาท กับบัตรประชาชนเท่านั้น พี่แกบเจรจากับตำรวจพม่าแบบสีหน้าเคร่งเครียดปรากฏว่าไม่ให้ผมเข้าไปบ้านมูดองจริง ๆ ด้วย ผมอุทานออกมาเลย "กูว่าแล้วไง" พี่แกบพยายามจะอธิบายยังไงก็ไม่เป็นผลสำเร็จ เขาบอกว่าต้องมีบัตรผ่านแดนชั่วคราว "ป๊าด" มันด่านชั่วคราวจะมีได้ไงวะเนี่ยะ สรุปเอาเป็นว่าผมต้องกลับไปด่านสิงขรใหม่เพื่อถามเอกสารผ่านแดนชั่วคราวกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ไทยก็บอกไม่มี เพราะเป็นแค่ด่านสากลใช้แค่เอกสารนี้ปกติก็ข้ามไปได้ ถ้าเขาไม่ให้ข้ามก็ไม่รู้จะช่วยยังไง พี่แกบบอกลองขึ้นไปใหม่อีกรอบเหอะ จะลองเจรจาดูใหม่ ผมก็บอกพี่แกบให้เสนอค่าน้ำร้อนน้ำชาให้เลยจะได้ไม่ต้องเหนื่อย การเจรจาครั้งที่สองผ่านไปทางเจ้าหน้าที่ตำรวจด่านพม่าก็ไม่หือไม่อืออะไรเลยยังทำหน้าเครียดใส่เหมือนเดิมและก็บอกว่ายังไงก็ข้ามมูดองไม่ได้ถ้าไม่มีเอกสารผ่านแดนชั่วคราว  ผมเริ่มถอดใจแล้วพี่เจ้าของจันทิมารีสอร์ทก็เป็นห่วงโทรมาถามผมว่าเข้าได้ยัง ผมตอบไปว่าตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 11 โมง ยังติดอยู่ด่านพม่าเลย เขาก็พยายามให้พี่แกบพาผมเข้าไปเที่ยวให้ได้แต่ผมเริ่มถอดใจแล้ว จนผมคิดว่าไปถามชาวบ้านดีกว่าน่าจะมีวิธีอื่นอีก ชาวบ้านบอกให้ลองย้อนกลับไปด่านตรวจคนเข้าเมืองด่านสิงขรเลย แล้วลองคุยกับเจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองด่านสิงขรดู ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นทางออกสุดท้ายแล้วถ้าไม่ทำก็คือไม่ได้เข้าไปอยู่ดี หรือถ้าทำแล้วไม่ได้เข้าไปบ้านมูดองก็ถือว่าหมดปัญญาเหมือนกัน ในที่สุดผมก็ย้อนกลับไปที่ด่านสิงขรเพื่อทำเอกสารผ่านแดนชั่วคราว และผลที่ออกมาคือทำไม่ได้จริง ๆ เพราะตอนนี้ด่านสิงขรเป็นแค่ด่านผ่านแดนชั่วคราวไม่ใช่ด่านชายแดนสากล เพราะฉะนั้นคนที่จะข้ามไปได้ส่วนใหญ่เป็นคนพื้นที่ ผมเริ่มหมดหวังซะแล้วกะว่าเดี๋ยวกลับไปบอกพี่แกบว่าไม่เป็นไรแล้ว เดี๋ยวผมรอด่านสิงขรเปิดเป็นทางการก่อนแล้วผมจะมาลุยให้ถึงมะริดเลย แต่เหมือนโชคช่วยผมเหมือนกันแฮะบังเอิญผมเจอคนพม่าที่คอยวิ่งเต้นเอกสารให้กับพวกพม่าอยู่บริเวณด่านตรวจคนเข้าเมืองสิงขร เจ้าหน้าที่เลยบอกให้คนพม่าคนนี้แนะนำผมหน่อยว่าจะทำไงถึงจะได้เข้าไปเที่ยวบ้านมูด่อง หนุ่มพม่าก็ยินดีช่วยพาผมเข้าไปโดยแนะนำให้รู้จักกับตำรวจที่ดูแลบ้านมูดอง ที่กำลังข้ามมาซื้อเก้าอี้ แล้วก็ข้าวกล่อง ที่ตลาดนัดด่านสิงขรพอดีเลย เขาขี่มอเตอร์ไซค์มากับลูกเล็ก ๆ ท่าทีของเขาแสดงความเป็นมิตร และการแต่งตัวเหมือนชาวบ้านมากกว่าที่จะเหมือนตำรวจด้วยซ้ำ พี่แกบบอกกับตำรวจบ้านมูดองว่าผมจะมาเที่ยวแต่ติดอยู่หน้าด่านฝั่งพม่าซึ่งตำรวจหน้าด่านพม่าไม่ให้เข้าไป ส่วนคนที่ติดต่อให้ก็พยายามบอกกับตำรวจบ้านมูดองให้ช่วยพาผมเข้าไปที และเขาก็ไม่ปฏิเสธคำขอร้องของลูกบ้านมูดองสองคนนี้และตำรวจบ้านมูดองก็ไม่เรียกร้องอะไรผมเลยและให้ผมไปรอหน้าด่านพม่าเลยเขาจะเข้าไปคุยให้ และแล้วความสำเร็จในทริปนี้ผมก็เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่แต่ก็ทำให้ผมรู้สึกดีใจมากครั้งหนึ่งที่มีคนพม่าหลายคนยินดีต้อนรับผม หลังจากที่ผมผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองพม่าฝั่งตรงข้ามด่านสิงขรไปได้ ผมยกมือไหว้ขอบคุณตำรวจบ้านมูดอง และตำรวจที่ไม่ให้ผมข้ามด่านชายแดนพม่าในครั้งแรก ที่อย่างน้อยก็เปิดโอกาสให้กับผมได้เข้าไปเที่ยวบ้านมูด่องในครั้งนี้

หลังจากเข้ามาถึงบ้านมูดองผมก็รู้สึกได้เลยว่า บ้านมูดองวันนั้นกับวันนี้เปลี่ยนไปค่อนข้างมาก เพราะมีหมู่บ้านติดริมถนนลาดยาง รวมถึงเห็นท่ารถโดยสารไปเมืองต่าง ๆ อย่างเมืองตะนาวศรี และเมืองมะริดแล้ว นอกจากนี้ยังมีร้านค้ามากมายหลายแห่ง รวมถึงผู้คนที่มารอรถโดยสารจำนวนหนึ่งด้วย

ผมเดินทางเข้าไปเที่ยวบ้านพี่แกบก่อนเดินทางต่อ เพราะว่ามีแกบมีลูกอ่อนส่วนตัวเขาก็ยังอุตส่าห์มารับผมเพื่อพาผมเที่ยวรอบ ๆ บ้านมูดอง ในช่วงระหว่างรอพี่แกบลูก ๆ พี่แกบก็เข้ามาพูดคุยกับผม ตอนแรกผมก็ไม่รู้ว่าน้อง ๆ จะพูดภาษาไทยได้ หลังจากที่ได้พูดคุยกับน้อง ๆ บ้านมูดองแล้วก็เลยชักชวนกันไปเที่ยวบ้านมูดองก่อนซักรอบ

น้อง ๆ พาไปดูบ้านเรือนที่มีการนำสัตว์ หรือพืชพรรณที่นำมาจากป่าเพื่อขาย ผมก็คิดว่าไม่น่าจะมีอะไรนอกจากพวกนก พวกหนู หรือไม่ก็กล้วไม้ แต่ที่สำคัญ ผมเห็นเขาล่ามลูกหมีไว้ด้วย ไม่น่าเชื่อเลยมันดูน่าสงสารมาก แต่ผมก็ไม่รู้จะทำไง เพราะถ้าไปทำอะไรไม่ดีเข้ากลัวจะมีปัญหายิ่งก่อนเข้ามามีปัญหากับตำรวจหน้าด่านพม่าอยู่ ก็ได้แต่ภาวนาให้มันอยู่รอดและปลอดภัยดี


ผมยังคงเดินไปเรื่อย ๆ เที่ยวชมตลาดบ้านมูดอง ซึ่งปกติตลาดที่นี่จะเปิดทุกวัน โดยเฉพาะช่วงเช้า ๆ ของจะขายเยอะมาก แต่เผอิญวันนี้เป็นวันเสาร์ แม่ค้าในตลาดบ้านมูดองนำสินค้าไปบ้านที่ตลาดนัดด่านสิงขรเลยทำให้ตลาดบ้านมูดองดูเงียบเหงาไปเลย ไม่งั้นเราจะได้เห็นสินค้าในตลาดนัดบ้านมูดอง มีทั้งผัก มีทั้งสัตว์ป่า มีทั้งผลไม้ที่หามาได้ เสื้อผ้า อาหารแห้ง และอีกมากมายเพราะที่นี้ยังมีผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์อยู่

หลังกลับมาจากการเดินเที่ยวรอบ ๆ บ้านมูดองแล้ว พี่แกบก็พาผมนั่งมอเตอร์ไซค์เที่ยวรอบ ๆ บ้านมูดองอีกรอบหนึ่ง แต่เป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากเวลาที่ผมเข้ามาเที่ยวมีเวลาไม่พอสำหรับวันนี้ เพราะผมต้องออกจากด่านพม่าก่อนเวลาที่หน้าด่านพม่ากำหนด ผมเลยอดไปสะพานสามซึ่งเป็นที่ตั้งของเจดีย์ขนาดใหญ่และสวยงามแห่งบ้านมูดอง ไว้รอครั้งหน้าผมคงได้มาใหม่ครั้งนี้เลยได้แต่ดูที่พักเอาไว้ก่อนเผื่อครั้งหน้าจะได้มาพักที่บ้านมูดองก่อนเดินทางไปเมืองอื่น ๆ ของพม่า จากนั้นก็เดินทางไปดูสถานที่ราชการในบ้านมูดองไม่ว่าจะเป็น โรงพยาบาล โรงเรียน สถานีตำรวจ รวมถึงเข้าไปนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์บ้านมูดอง

ก่อนกลับผมไม่พลาดที่จะชิมอาหารพม่า อย่างข้าวแกงพม่าที่ผมหลงไหลว่าอร่อยไม่แพ้ข้าวแกงประเทศไทย ที่สำคัญข้าวแกงพม่าเป็นอาหารที่ประเทศไทยหากินยากก็มีอาทิของป่าของแท้ไม่ว่าจะเป็นหมูป่า เก้ง กวาง อีเห็น ในพม่าตามแถวชนบทมีหมด ผมลองอาหารพม่าแบบนี้ในรูปแบบข้าวแกงพม่ามาหลายที่แล้ว ดังนั้นการมาบ้านมูดองครั้งนี้ก็จะไม่พลาดที่จะได้ชิมความอร่อยของข้าวแกงพม่าอีกครั้งหนึ่ง ที่ร้านข้าวแกงบ้านมูดองแห่งนี้บรรยากาศดี มีร่มไม้ใต้ร่มมะม่วง มีสายน้ำเล็ก ๆ ไหลผ่าน ที่สำคัญได้กินข้าวปนฝุ่นด้วยซึ่งบรรยากาศแบบนี้ผมคงหากินได้ยากแล้วในประเทศไทย ผมสั่งแกงปลา ผัดกวาง ผัดหมูป่า แล้วก็มีน้ำพริกพม่า นั่งทานกับพี่แกบสองคนจนอิ่มแป้เลย ไม่อยากจะบอกให้รู้เลยว่ามันอร่อยมาก ๆ วันไหนข้ามมาบ้านมูดองแล้วผมจะแวะกลับมากินใหม่ที่ร้านนี้

แล้วเจอกันใหม่ในทริปหน้ากับการเดินท่องเที่ยวในประเทศพม่า เพื่อนบ้านของเราที่กำลังเปิดประเทสให้ผู้คนทั่วโลกได้เข้ามาสัมผัส ผมก็เป็นหนึ่่งคนที่อยากสัมผัสพม่าในรูปแบบของผมเช่นกัน และผมยังคงเป็นแบ็คแพ็คเกอร์ที่ดีพยายามจะหาเรื่องราวจากประสบการณ์การเดินทางของผมมาให้ได้รับชมนะครับ หวังว่าเพื่อน ๆ คนไหนชอบก็กดไลค์หรือติดตามให้กำลังกันได้ในช่อง www.youtube.com/annaontours  แล้วเจอกันใหม่ทริปหน้านะครับ

วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ความสวยงามของเมืองเก่าทวายวันนี้ วันหน้าอาจไม่มีอีกแล้ว ตามรอยทางเดิมแต่วันนี้เปลี่ยนไปมาก

ทริปนี้ ผมได้เดินทางไปทวายอีกครั้ง ด้วยการชักชวนของเพื่อนที่ติดตามผมในยูทูบ หรือาจจะเห็นผมไปทวายครั้งก่อนหน้านี้ คงสนใจเลยโทรมาชวนผมไปด้วยหลายครั้ง ส่วนตัวผมเองก็๋อยากจะไปที่อื่นบ้างแต่ด้วยความที่เขาร้องขอมาหลายรอบ ผมก็ใจอ่อนเลยตัดสินใจเดินทางไปพร้อมกับสมาชิกที่ชักชวน 2 ท่าน ชื่อพี่จิม และพี่เก่ง โดยทริปนี้ผมเดินทางฟรีทั้งทริป ไม่ว่าจะเป็นค่าที่พัก อาหาร ค่ารถ เขาสนับสนุนผมในการเดินทางพาเขาไปดูฟาร์มกุ้งลอบสเตอร์ในทวาย
 
ทริปนี้การเดินทางผมค่อนข้างจะง่ายมากครั้งที่แล้ว เพราะหลายคนจำผมได้ตั้งแต่หน้าด่านที่พุน้ำร้อน ตั้งแต่คนทำเอกสารผ่านแดนชั่วคราว พี่จอไนคนขับรถตู้เข้าทวาย รวมถึงบริษัททัวร์หน้าด่าน ผมก็เลยคุยไม่ค่อยหวั่นที่จะเดินทางเข้าไปอีกครั้ง ผมยืนคุยสับเพเหระเรื่อยเปื่อยอยู่บริเวณหน้าด่านพุน้ำร้อน จนพร้อมที่จะเดินทาง ผมก็ขึ้นรถรถตู้พี่จอในสำหรับทริปนี้ (ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับตู้สามารถคุยกับพี่จอไนได้เลยเขาพูดไทยชัด และเขาเข้าไปทวายบ่อย)
 
ในการเดินทางมาแต่ละครั้งสเน่ห์ในการเดินทางด้วยรถเข้าทวาย นอกจากจะได้เห็นธรรมชาติที่ยังอุดมสมบูรณ์ของพม่าแล้ว ยังได้เจอกับสาวสวยเจ้าของร้านข้าวแกงพม่าต้องพี่จอในจะต้องพาลูกทัวร์ มาแวะกินข้าวแแกงพม่าที่ร้านนี้ประจำเลย ผมกินเป็นรอบที่สามแล้ว จนแม่ค้าสาวสวยจำหน้าผมได้ ผมก็จำเธอได้เพราะเธอยังไม่มีแฟน
 
พี่จิม กับพี่เก่งเขาอยากมาดูของทะเลในเมืองทวายว่าถูกและสดจริงไหม เผื่อว่าเป็นช่องทางในการดำเนินธุรกิจ ส่วนผมก็เดินทางไปแล้วเลยอยากจะไปดูความเปลี่ยนแปลงของทวายเท่านั้น และก็เป็นจริงแค่ช่วงเวลาแค่ ไม่ถึงครึ่งปี ทวายก็เปลี่ยนไปมาก เปลี่ยนไปจนเห็นได้ชัด อาทิ มีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่กำลังถูกสร้างขึ้นมา รวมถึงมีพิพิธภัณฑ์ของเก่าในทวายก็มีขึ้นด้วย ผมไม่แปลกใจหรอกครับว่าทำไมถึงมีสิ่งพวกนี้เกิดขึ้นมา เพราะว่าทวายกำลังเจริญเติบโต คนไทยเข้าไปเที่ยวเยอะมาก ๆ คนที่เดินทางไปลงทุนในทวายก็ใช่น้อย ผมเดินทางช่วงก่อนหน้านี้ที่พักโรงแรมว่างตลอด แต่วันที่ผมเดินทางไปมีคณะทัวร์จากไทยไม่น้อยกว่า 80 ท่าน เดินทางเข้าไปเที่ยวทวาย ทำให้ผมไม่รู้สึกเหงาเหมือนก่อน
 
 ทริปนี้ผมอยากสรุปให้นักเดินทางไปเที่ยวทวายฟังคร่าว ๆ เพราะผมเคยเดินทางไปแล้วก่อนหน้านี้ผมได้เขียนเป็นเรื่องเล่าอย่างละเอียดตั้งแต่เส้นทางการเดินทาง และร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว แต่ทริปนี้ผมอยากให้เห็นอะไรที่น่าสนใจมากกว่าสถานที่ท่องเที่ยวที่ผมได้เดินทางไปสมผัสมาเมื่อครั้งก่อน ทริปนี้ผมได้นอนโรงแรมที่สามารถจองในอะโกด้า คือโรงแรม zayar htet san hotel แต่คราวนี้วอล์คอินเข้าไป โดนที่ห้องละ 1,300 บาท แต่ขอบอกว่าไม่ประทับใจ Wifire อยู่ในห้องพักเล่นแทบไม่ได้เลย มาเล่นหน้าเค้าเตอร์ครึ่งคืนเน็ตก็หลุด ๆ ติด ๆ ตลอด
 
ผมไม่พลาดที่จะเดินทางไปดูตลาดริมทะเลแบบดั้งเดิมแบกับผืนทราย มีชาวพม่านำสินค้ามาขายมากมาย ที่สำคัญเรือประมงนำปลาสด ๆ มากองขายบริเวณริมหาดทรายจำนวนมาก แต่น่าเสียดายทริปนี้ผมเห็นปลามีขายน้อยมาก แต่ผมก็ถือว่าโชคดีมากเช่นกัน ที่ได้เห็นเรือเอาปลามารีนขึ้นมาขายเป็นจำนวนมากในครั้งนี้
 
 
ทริปนี้ผมได้มีโอกาสเห็นวิธีการทำปลาดิบ โดยชาวประมงชาวพม่า ทำให้ผมอยากที่จะชิมความอร่อย หรือรสชาติสำหรับปลาดิบคนทวาย ว่ามันจะเหมือนที่เขาทำทั่วไปกันหรือปล่าว แต่วัตถุดิบและวิธีการทำของเขาอาจจะไม่ค่อยสะอาดเท่าไร เพราะน้ำก็ใช้น้ำทะเลล้างปลา ส่วนเครื่องปรุงก็มีแค่พริก หัวหอม ชูรส เกลือ และน้ำส้มหมักจากน้ำมะพร้าว แต่อะไรก็ห้ามผมไม่ได้เพราะนานจะมาซักทีเลยต้องลองชิมปลาดิบริมทะเลพม่าซักกะหน่อย
  
ทริปนี้ผมได้เห็นการชำแหละปลาปักเป้า ซึ่งปกติเราจะไม่ค่อยได้เห็น เพราะส่วนใหญ่จะมีแต่ในประเทศญี่ปุ่น เป็นอาหารที่ขึ้นชื่อมาก แต่ทริปนี้ผมได้เห็นว่าที่ทวายก็มีการชำแหระปลาปักเป้าหนามเช่นกัน ผมคิดว่าหลายคนไม่รู้ หลายคนไม่ทราบว่าที่นี่เอาปลาปักเป้ามาขายโดยการส่งออกจีน รวมถึงเอาเนื้อมากินด้วย เลยอยากจะบอกว่าปลาปักเป้าหนามเขาลอกเอาหนังกับกระเพาะไปตากแห้งจากนั้นก็จะมีรถมารับซื้อส่งออกไปจีน ส่วนราคากระเพาะปลาปั๊กเป้าก็มีราคาสูง ประมาณกิโลกรัมละ 10,000 บาท ไทยเลย ส่วนเนื้อปลาปั๊กเป้าก็มีคนพม่าซื้อต่อเพื่อนำไปกินเพราะเขาบอกเนื้ออร่อยเหมือนเนื้อไก่แถมกระดูกปลาปั๊กเป้ายังอ่อนกินง่ายด้วย เพียงแต่ต้องรู้วิธีเอาพิษปลาปั๊กเป้าออกก่อน ที่ริมทะเลโบชิกเขาบอกว่าพิษจะอยู่ที่ปากกับตาปั๊กเป้า อันนี้ก็ต้องระวังให้ดีนะครับอันตรายถึงชีวิตได้
 
ผมมีเวลาในทวายไม่ค่อยมากสำหรับทริปนี้ เพราะทวายเป็นเมืองเล็ก ๆ ส่วนใหญ่หนักไปทางไหว้พระ กินอาหารทะเล เลยอยากเอาหน้าตาของอาหารทะเลที่หาดมอมะกันมาโชว์ให้ดูว่าของเขานั้นของทะเลยังถูก และถือว่าถูกมาก ๆ ด้วย แต่ต้องคุยภาษาเดียวกับเขาให้ได้นะไม่งั้นต่อรองราคาลำบาก
 
เย็น ๆ ผมก็ยังคงเดินเล่นในเมืองทวายหาอะไรดูระหว่างการรอ หรือพี่พัก เห็นวิถีชีวิตชาวพม่า ในแต่ละครั้งที่ผ่านมา หรือเห็นอะไรแปลก ๆ ก็จะลองไปชิมทุกครั้ง อย่าครั้งนี้ก็ได้มีโอกาสชิมกะหรี่ปั๊บพม่าที่ดูอันใหญ่ทอดร้อน ๆ จากเตาดูน่ากินมากมากเลยทีเดียว
  
ส่วนกลางคืนผมให้ดูบรรยกาศร้านอาหารยามราตรี กะว่าจะดูหนุ่มสาวพม่าเที่ยวซะหน่อยแต่ฝนดันมาตกในวันที่ผมออกเดินทางท่องเมืองทวายในยามราตรี แหมเลยเห็นแค่เว็บ ๆ นิด ๆ หน่อย ๆ เอาเป็นว่าดูบรรยากาศชิมราง เพราะผมต้องเดินทางไปทวายอีกหลายครั้ง เพราะตอนนี้ผมเริ่มรู้จักคนทวายพูดภาษาไทยได้หลายคนแล้ว คิดว่าครั้งหน้าคงไปนอนบ้านคนในทวายฟรีแล้ว
 
ก่อนกลับผมแวะซื้อของทะเลกลับไปฝากคนทางบ้าน แนะนำว่าบางอย่างแพง บางอย่างถูก เวลาชั่งเขาใช้กิโลพม่า เรียกว่าปีต้า 1 กิโลพม่า เท่ากับ 1.6 กิโลกรัมบ้านเรา เวลาจะซื้อของอะรไกลับบ้านอย่านึกว่าของเขาราคาแพง ถ้าเขาใช้ปีต้าชั่งให้ลองคำนวณให้ดี โดยเฉลี่ยมาเป็นกิโลกรัมไทย รับรองจะได้ของถูกกว่าประเทศไทยเรา แต่ที่สำคัญของทะเลเขาใหญ่มาก ใหญ่กว่าบ้านเราเยอะ เช่นปูทะเล ปลาหมึก ปลาต่าง ๆ กุ้ง รับรองว่าได้กินของดีตัวใหญ่ ๆ
 
สุดท้ายนี้ฝากติดตาม ในคลิปยูทูป ช่อง อันแน่ออนทัวร์นะครับ แล้วจะเจอกับประสบการณ์ใหม่ ๆ ในการเดินทางได้ตลอดผมที่ยังมีแรงนะครับ
www.youtube.com/annaontours

แนะนำตัว อันแน่ออนทัวร์


เป็นนิคเนมของผมในการเดินทาง เวลาที่คนเรามาถึงจุดหนึ่งของชีวิตที่คิดว่าเหนื่อยมากแล้ว อยากจะหยุดสิ่งที่เหนือย สิ่งที่ล้า สิ่งที่เครียด ปัญหาที่รุมเร้าเข้ามาทั้งหลายทั้งปวง ทุกคนก็เริ่มหาทางออก โดยการหาความสุขของชีวิตมาเติมให้เต็มในช่วงเวลาที่เหลือ คนเราไม่สามารถเลือกวันหมดอายุได้ แต่ทุกคนสามารถเลือกที่จะหาความสุขให้กับชีวิตได้ ผมจึงเร่งเก็บเงิน เพื่อเดินไปตามความฝันของผมในช่วงเวลาที่ผมยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่า วันนี้ วันหน้า วันไหนไหน หรือชาติไหนไหน จะสามารถทำได้แบบวันนี้หรือไม่ แต่ในเมื่อผมมีโอกาส ผมก็เอาความทุกข์ ความเครียด กองทิ้งไว้ แล้วออกไปไขว่คว้าหาความสุข แต่ความสุขของผมคือการ การแบกเป้ไปเผชิญกับสิ่งแปลกใหม่ที่เร้าใจ สิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อนสำหรับชีวิตผม เวลาผมสะพายเป้ท่องเที่ยว ผมจะมีกระเป๋าไม่เกิน 2 ส่วนในเป้ก็ไม่มีอะไรมาก แต่มันเป็นของที่จำเป็นต่อการเดินทางก็ได้แก่ เสื้อผ้าไม่กี่ตัว ข้าวของเครื่องใช้นิดหน่อย อุปกรณ์ในการป้องกันตัวไม่มีนอกจากรอยยิ้ม แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้จริง ๆ ก็คือ หนังสือเดินทาง เงิน และที่สำคัญที่สุดคือ ความกล้า แต่สำหรับช่วงเวลาในยุคปัจจุบันนี้มันจำเป็นยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด เพื่อจะนำเอาข้อมูลมาเล่าสู่กันฟัง จำเป็นต้องมีกล้องถ่ายภาพ ก็โทรศัพท์ และโน๊ตบุ๊ค ติดตัวผมไปด้วยเสมอ เพราะผมชอบเดินทางคนเดียว ของทุกอย่างจะคงอยู่ในเป้ผมตลอด ไม่ค่อยมีการโยกย้ายอะไรออกมา การเดินทางของผมไม่มีจุดหมายเลยจำเป็นต้องมีเข็มทิศนำทางอยู่สองอย่าง นั่นก็คือ ปาก และเท้าของผม แต่ภาษาอังกฤษไม่เก่งเลย แต่ผมก็ยังกล้าที่จะไปเรื่อย ๆ ผมไม่ค่อยมีแบบแผนในการเที่ยวอยากจะไปไหนก็ไป หนังสือไม่ค่อยเปิดอ่าน เห็นอะไรที่หน้าสนใจในอินเตอร์เน็ต หรือทางทีวี ก็เตรียมไปแล้ว ถ้ามีเงินก็ไปเลย ศึกษาข้อมูลก่อนไปว่าไปยังไงก่อนเท่านั้น ถ้าไปได้ไม่ยากวันนี้หรือพรุ่งนี้ก็ไปได้ตลอด
  
ผมตั้งใจว่า ผมจะเดินทางไปทั่วประเทศไทย และผมไปมาจนเกือบทุกเส้นทาง ทุกสถานที่ท่องเที่ยวที่ผมอยากไปมากเกือบทุกที่แล้ว และความตั้งใจใหม่ของผมมันจะกว้างกว่าตอนที่อยู่ประเทศไทย โดยการผมเลือกที่จะเดินทางออกไปเที่ยวประเทศเพื่อนบ้านทุกที่ที่อยากจะไป โดยเฉพาะประเทศที่ล้าหลังกว่าเรา หรือใกล้เคียงกับประเทศเรา เพราะผมยังคิดเสมอว่าผมอยากกลับไปเป็นเด็กน้อย เพราะช่วงเวลานั้นผมมีความสุขมากเวลาได้เดินทางไปพร้อมกันครอบครัว ผมเป็นคนไม่ค่อยชอบความสีวิไล เพราะส่วนหนึ่งก็คือ ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง แต่ถ้ามีเงินก็ไปได้เหมือนกัน แต่สไตล์ของผมคือเข้าป่า ไปสถานที่ที่ลำบาก แบบทุลักทุเล เป็นที่ที่น้อยคนที่จะไป ไม่ว่าจะท่องเที่ยว หรือไปดูอะไรที่สวยงามแปลกใหม่ ผมจะนำกล้องถ่ายภาพ หรือกล้องวีดีโอไปด้วยเสมอ แต่เสียดายที่ผมเป็นคนไม่ค่อยเก่งเรื่องเว็บไซต์เท่าไร ข้อมูลที่ถูกถ่ายทอดเลยออกมาไม่ค่อยดี น้อยคนที่จะรู้จักอันแน่ออนทัวร์ แต่ทุกวันนี้ผมเริ่มศึกษาให้เข้าใจ แล้วก็อยากจะแบ่งประสบการณ์การเดินทางในช่วงเวลาหนึ่งที่คิดว่า หลายคนอยากจะเดินทางไปพร้อมกับผม หลายคนอยากจะเห็นแบบที่ผมเห็น ซึ่งแต่ละคนก็อาจไม่มีโอกาสนั้น บล็อกนี้ผมจึงทำขึ้นมา เพื่อคนที่ต้องการหาความสุขในแบบผมก็สามารถเข้ามาติดตามได้ หลายช่องทาง
 

บล็อกของผม อันแน่ออนทัวร์ กิน เที่ยว นอน ออนไลน์ 
annantours.blogspot.com

ยูทูบ

เฟคบุ๊ค