วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ความสวยงามของเมืองเก่าทวายวันนี้ วันหน้าอาจไม่มีอีกแล้ว ตามรอยทางเดิมแต่วันนี้เปลี่ยนไปมาก

ทริปนี้ ผมได้เดินทางไปทวายอีกครั้ง ด้วยการชักชวนของเพื่อนที่ติดตามผมในยูทูบ หรือาจจะเห็นผมไปทวายครั้งก่อนหน้านี้ คงสนใจเลยโทรมาชวนผมไปด้วยหลายครั้ง ส่วนตัวผมเองก็๋อยากจะไปที่อื่นบ้างแต่ด้วยความที่เขาร้องขอมาหลายรอบ ผมก็ใจอ่อนเลยตัดสินใจเดินทางไปพร้อมกับสมาชิกที่ชักชวน 2 ท่าน ชื่อพี่จิม และพี่เก่ง โดยทริปนี้ผมเดินทางฟรีทั้งทริป ไม่ว่าจะเป็นค่าที่พัก อาหาร ค่ารถ เขาสนับสนุนผมในการเดินทางพาเขาไปดูฟาร์มกุ้งลอบสเตอร์ในทวาย
 
ทริปนี้การเดินทางผมค่อนข้างจะง่ายมากครั้งที่แล้ว เพราะหลายคนจำผมได้ตั้งแต่หน้าด่านที่พุน้ำร้อน ตั้งแต่คนทำเอกสารผ่านแดนชั่วคราว พี่จอไนคนขับรถตู้เข้าทวาย รวมถึงบริษัททัวร์หน้าด่าน ผมก็เลยคุยไม่ค่อยหวั่นที่จะเดินทางเข้าไปอีกครั้ง ผมยืนคุยสับเพเหระเรื่อยเปื่อยอยู่บริเวณหน้าด่านพุน้ำร้อน จนพร้อมที่จะเดินทาง ผมก็ขึ้นรถรถตู้พี่จอในสำหรับทริปนี้ (ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับตู้สามารถคุยกับพี่จอไนได้เลยเขาพูดไทยชัด และเขาเข้าไปทวายบ่อย)
 
ในการเดินทางมาแต่ละครั้งสเน่ห์ในการเดินทางด้วยรถเข้าทวาย นอกจากจะได้เห็นธรรมชาติที่ยังอุดมสมบูรณ์ของพม่าแล้ว ยังได้เจอกับสาวสวยเจ้าของร้านข้าวแกงพม่าต้องพี่จอในจะต้องพาลูกทัวร์ มาแวะกินข้าวแแกงพม่าที่ร้านนี้ประจำเลย ผมกินเป็นรอบที่สามแล้ว จนแม่ค้าสาวสวยจำหน้าผมได้ ผมก็จำเธอได้เพราะเธอยังไม่มีแฟน
 
พี่จิม กับพี่เก่งเขาอยากมาดูของทะเลในเมืองทวายว่าถูกและสดจริงไหม เผื่อว่าเป็นช่องทางในการดำเนินธุรกิจ ส่วนผมก็เดินทางไปแล้วเลยอยากจะไปดูความเปลี่ยนแปลงของทวายเท่านั้น และก็เป็นจริงแค่ช่วงเวลาแค่ ไม่ถึงครึ่งปี ทวายก็เปลี่ยนไปมาก เปลี่ยนไปจนเห็นได้ชัด อาทิ มีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่กำลังถูกสร้างขึ้นมา รวมถึงมีพิพิธภัณฑ์ของเก่าในทวายก็มีขึ้นด้วย ผมไม่แปลกใจหรอกครับว่าทำไมถึงมีสิ่งพวกนี้เกิดขึ้นมา เพราะว่าทวายกำลังเจริญเติบโต คนไทยเข้าไปเที่ยวเยอะมาก ๆ คนที่เดินทางไปลงทุนในทวายก็ใช่น้อย ผมเดินทางช่วงก่อนหน้านี้ที่พักโรงแรมว่างตลอด แต่วันที่ผมเดินทางไปมีคณะทัวร์จากไทยไม่น้อยกว่า 80 ท่าน เดินทางเข้าไปเที่ยวทวาย ทำให้ผมไม่รู้สึกเหงาเหมือนก่อน
 
 ทริปนี้ผมอยากสรุปให้นักเดินทางไปเที่ยวทวายฟังคร่าว ๆ เพราะผมเคยเดินทางไปแล้วก่อนหน้านี้ผมได้เขียนเป็นเรื่องเล่าอย่างละเอียดตั้งแต่เส้นทางการเดินทาง และร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว แต่ทริปนี้ผมอยากให้เห็นอะไรที่น่าสนใจมากกว่าสถานที่ท่องเที่ยวที่ผมได้เดินทางไปสมผัสมาเมื่อครั้งก่อน ทริปนี้ผมได้นอนโรงแรมที่สามารถจองในอะโกด้า คือโรงแรม zayar htet san hotel แต่คราวนี้วอล์คอินเข้าไป โดนที่ห้องละ 1,300 บาท แต่ขอบอกว่าไม่ประทับใจ Wifire อยู่ในห้องพักเล่นแทบไม่ได้เลย มาเล่นหน้าเค้าเตอร์ครึ่งคืนเน็ตก็หลุด ๆ ติด ๆ ตลอด
 
ผมไม่พลาดที่จะเดินทางไปดูตลาดริมทะเลแบบดั้งเดิมแบกับผืนทราย มีชาวพม่านำสินค้ามาขายมากมาย ที่สำคัญเรือประมงนำปลาสด ๆ มากองขายบริเวณริมหาดทรายจำนวนมาก แต่น่าเสียดายทริปนี้ผมเห็นปลามีขายน้อยมาก แต่ผมก็ถือว่าโชคดีมากเช่นกัน ที่ได้เห็นเรือเอาปลามารีนขึ้นมาขายเป็นจำนวนมากในครั้งนี้
 
 
ทริปนี้ผมได้มีโอกาสเห็นวิธีการทำปลาดิบ โดยชาวประมงชาวพม่า ทำให้ผมอยากที่จะชิมความอร่อย หรือรสชาติสำหรับปลาดิบคนทวาย ว่ามันจะเหมือนที่เขาทำทั่วไปกันหรือปล่าว แต่วัตถุดิบและวิธีการทำของเขาอาจจะไม่ค่อยสะอาดเท่าไร เพราะน้ำก็ใช้น้ำทะเลล้างปลา ส่วนเครื่องปรุงก็มีแค่พริก หัวหอม ชูรส เกลือ และน้ำส้มหมักจากน้ำมะพร้าว แต่อะไรก็ห้ามผมไม่ได้เพราะนานจะมาซักทีเลยต้องลองชิมปลาดิบริมทะเลพม่าซักกะหน่อย
  
ทริปนี้ผมได้เห็นการชำแหละปลาปักเป้า ซึ่งปกติเราจะไม่ค่อยได้เห็น เพราะส่วนใหญ่จะมีแต่ในประเทศญี่ปุ่น เป็นอาหารที่ขึ้นชื่อมาก แต่ทริปนี้ผมได้เห็นว่าที่ทวายก็มีการชำแหระปลาปักเป้าหนามเช่นกัน ผมคิดว่าหลายคนไม่รู้ หลายคนไม่ทราบว่าที่นี่เอาปลาปักเป้ามาขายโดยการส่งออกจีน รวมถึงเอาเนื้อมากินด้วย เลยอยากจะบอกว่าปลาปักเป้าหนามเขาลอกเอาหนังกับกระเพาะไปตากแห้งจากนั้นก็จะมีรถมารับซื้อส่งออกไปจีน ส่วนราคากระเพาะปลาปั๊กเป้าก็มีราคาสูง ประมาณกิโลกรัมละ 10,000 บาท ไทยเลย ส่วนเนื้อปลาปั๊กเป้าก็มีคนพม่าซื้อต่อเพื่อนำไปกินเพราะเขาบอกเนื้ออร่อยเหมือนเนื้อไก่แถมกระดูกปลาปั๊กเป้ายังอ่อนกินง่ายด้วย เพียงแต่ต้องรู้วิธีเอาพิษปลาปั๊กเป้าออกก่อน ที่ริมทะเลโบชิกเขาบอกว่าพิษจะอยู่ที่ปากกับตาปั๊กเป้า อันนี้ก็ต้องระวังให้ดีนะครับอันตรายถึงชีวิตได้
 
ผมมีเวลาในทวายไม่ค่อยมากสำหรับทริปนี้ เพราะทวายเป็นเมืองเล็ก ๆ ส่วนใหญ่หนักไปทางไหว้พระ กินอาหารทะเล เลยอยากเอาหน้าตาของอาหารทะเลที่หาดมอมะกันมาโชว์ให้ดูว่าของเขานั้นของทะเลยังถูก และถือว่าถูกมาก ๆ ด้วย แต่ต้องคุยภาษาเดียวกับเขาให้ได้นะไม่งั้นต่อรองราคาลำบาก
 
เย็น ๆ ผมก็ยังคงเดินเล่นในเมืองทวายหาอะไรดูระหว่างการรอ หรือพี่พัก เห็นวิถีชีวิตชาวพม่า ในแต่ละครั้งที่ผ่านมา หรือเห็นอะไรแปลก ๆ ก็จะลองไปชิมทุกครั้ง อย่าครั้งนี้ก็ได้มีโอกาสชิมกะหรี่ปั๊บพม่าที่ดูอันใหญ่ทอดร้อน ๆ จากเตาดูน่ากินมากมากเลยทีเดียว
  
ส่วนกลางคืนผมให้ดูบรรยกาศร้านอาหารยามราตรี กะว่าจะดูหนุ่มสาวพม่าเที่ยวซะหน่อยแต่ฝนดันมาตกในวันที่ผมออกเดินทางท่องเมืองทวายในยามราตรี แหมเลยเห็นแค่เว็บ ๆ นิด ๆ หน่อย ๆ เอาเป็นว่าดูบรรยากาศชิมราง เพราะผมต้องเดินทางไปทวายอีกหลายครั้ง เพราะตอนนี้ผมเริ่มรู้จักคนทวายพูดภาษาไทยได้หลายคนแล้ว คิดว่าครั้งหน้าคงไปนอนบ้านคนในทวายฟรีแล้ว
 
ก่อนกลับผมแวะซื้อของทะเลกลับไปฝากคนทางบ้าน แนะนำว่าบางอย่างแพง บางอย่างถูก เวลาชั่งเขาใช้กิโลพม่า เรียกว่าปีต้า 1 กิโลพม่า เท่ากับ 1.6 กิโลกรัมบ้านเรา เวลาจะซื้อของอะรไกลับบ้านอย่านึกว่าของเขาราคาแพง ถ้าเขาใช้ปีต้าชั่งให้ลองคำนวณให้ดี โดยเฉลี่ยมาเป็นกิโลกรัมไทย รับรองจะได้ของถูกกว่าประเทศไทยเรา แต่ที่สำคัญของทะเลเขาใหญ่มาก ใหญ่กว่าบ้านเราเยอะ เช่นปูทะเล ปลาหมึก ปลาต่าง ๆ กุ้ง รับรองว่าได้กินของดีตัวใหญ่ ๆ
 
สุดท้ายนี้ฝากติดตาม ในคลิปยูทูป ช่อง อันแน่ออนทัวร์นะครับ แล้วจะเจอกับประสบการณ์ใหม่ ๆ ในการเดินทางได้ตลอดผมที่ยังมีแรงนะครับ
www.youtube.com/annaontours

แนะนำตัว อันแน่ออนทัวร์


เป็นนิคเนมของผมในการเดินทาง เวลาที่คนเรามาถึงจุดหนึ่งของชีวิตที่คิดว่าเหนื่อยมากแล้ว อยากจะหยุดสิ่งที่เหนือย สิ่งที่ล้า สิ่งที่เครียด ปัญหาที่รุมเร้าเข้ามาทั้งหลายทั้งปวง ทุกคนก็เริ่มหาทางออก โดยการหาความสุขของชีวิตมาเติมให้เต็มในช่วงเวลาที่เหลือ คนเราไม่สามารถเลือกวันหมดอายุได้ แต่ทุกคนสามารถเลือกที่จะหาความสุขให้กับชีวิตได้ ผมจึงเร่งเก็บเงิน เพื่อเดินไปตามความฝันของผมในช่วงเวลาที่ผมยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่า วันนี้ วันหน้า วันไหนไหน หรือชาติไหนไหน จะสามารถทำได้แบบวันนี้หรือไม่ แต่ในเมื่อผมมีโอกาส ผมก็เอาความทุกข์ ความเครียด กองทิ้งไว้ แล้วออกไปไขว่คว้าหาความสุข แต่ความสุขของผมคือการ การแบกเป้ไปเผชิญกับสิ่งแปลกใหม่ที่เร้าใจ สิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อนสำหรับชีวิตผม เวลาผมสะพายเป้ท่องเที่ยว ผมจะมีกระเป๋าไม่เกิน 2 ส่วนในเป้ก็ไม่มีอะไรมาก แต่มันเป็นของที่จำเป็นต่อการเดินทางก็ได้แก่ เสื้อผ้าไม่กี่ตัว ข้าวของเครื่องใช้นิดหน่อย อุปกรณ์ในการป้องกันตัวไม่มีนอกจากรอยยิ้ม แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้จริง ๆ ก็คือ หนังสือเดินทาง เงิน และที่สำคัญที่สุดคือ ความกล้า แต่สำหรับช่วงเวลาในยุคปัจจุบันนี้มันจำเป็นยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด เพื่อจะนำเอาข้อมูลมาเล่าสู่กันฟัง จำเป็นต้องมีกล้องถ่ายภาพ ก็โทรศัพท์ และโน๊ตบุ๊ค ติดตัวผมไปด้วยเสมอ เพราะผมชอบเดินทางคนเดียว ของทุกอย่างจะคงอยู่ในเป้ผมตลอด ไม่ค่อยมีการโยกย้ายอะไรออกมา การเดินทางของผมไม่มีจุดหมายเลยจำเป็นต้องมีเข็มทิศนำทางอยู่สองอย่าง นั่นก็คือ ปาก และเท้าของผม แต่ภาษาอังกฤษไม่เก่งเลย แต่ผมก็ยังกล้าที่จะไปเรื่อย ๆ ผมไม่ค่อยมีแบบแผนในการเที่ยวอยากจะไปไหนก็ไป หนังสือไม่ค่อยเปิดอ่าน เห็นอะไรที่หน้าสนใจในอินเตอร์เน็ต หรือทางทีวี ก็เตรียมไปแล้ว ถ้ามีเงินก็ไปเลย ศึกษาข้อมูลก่อนไปว่าไปยังไงก่อนเท่านั้น ถ้าไปได้ไม่ยากวันนี้หรือพรุ่งนี้ก็ไปได้ตลอด
  
ผมตั้งใจว่า ผมจะเดินทางไปทั่วประเทศไทย และผมไปมาจนเกือบทุกเส้นทาง ทุกสถานที่ท่องเที่ยวที่ผมอยากไปมากเกือบทุกที่แล้ว และความตั้งใจใหม่ของผมมันจะกว้างกว่าตอนที่อยู่ประเทศไทย โดยการผมเลือกที่จะเดินทางออกไปเที่ยวประเทศเพื่อนบ้านทุกที่ที่อยากจะไป โดยเฉพาะประเทศที่ล้าหลังกว่าเรา หรือใกล้เคียงกับประเทศเรา เพราะผมยังคิดเสมอว่าผมอยากกลับไปเป็นเด็กน้อย เพราะช่วงเวลานั้นผมมีความสุขมากเวลาได้เดินทางไปพร้อมกันครอบครัว ผมเป็นคนไม่ค่อยชอบความสีวิไล เพราะส่วนหนึ่งก็คือ ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง แต่ถ้ามีเงินก็ไปได้เหมือนกัน แต่สไตล์ของผมคือเข้าป่า ไปสถานที่ที่ลำบาก แบบทุลักทุเล เป็นที่ที่น้อยคนที่จะไป ไม่ว่าจะท่องเที่ยว หรือไปดูอะไรที่สวยงามแปลกใหม่ ผมจะนำกล้องถ่ายภาพ หรือกล้องวีดีโอไปด้วยเสมอ แต่เสียดายที่ผมเป็นคนไม่ค่อยเก่งเรื่องเว็บไซต์เท่าไร ข้อมูลที่ถูกถ่ายทอดเลยออกมาไม่ค่อยดี น้อยคนที่จะรู้จักอันแน่ออนทัวร์ แต่ทุกวันนี้ผมเริ่มศึกษาให้เข้าใจ แล้วก็อยากจะแบ่งประสบการณ์การเดินทางในช่วงเวลาหนึ่งที่คิดว่า หลายคนอยากจะเดินทางไปพร้อมกับผม หลายคนอยากจะเห็นแบบที่ผมเห็น ซึ่งแต่ละคนก็อาจไม่มีโอกาสนั้น บล็อกนี้ผมจึงทำขึ้นมา เพื่อคนที่ต้องการหาความสุขในแบบผมก็สามารถเข้ามาติดตามได้ หลายช่องทาง
 

บล็อกของผม อันแน่ออนทัวร์ กิน เที่ยว นอน ออนไลน์ 
annantours.blogspot.com

ยูทูบ

เฟคบุ๊ค